คุณเคยไปเที่ยวอัมพวาด้วยการนั่งรถไฟกันหรือยัง อยากรู้มั้ยว่าต้องเดินทางยังไง และ ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ และ มีค่าเดินทางกี่บาท…ถ้าอยากรู้ก็อ่านต่อได้เลย
ผู้เขียนมีโควต้า Work From Home จำนวน 2 วันต่อสัปดาห์ จึงวางแผนหาที่นั่งทำงานอากาศดีๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ ริมแม่น้ำควรจะเป็นที่ไหนดี ซึ่งก่อนหน้านี้มักจะเลือกไปบางกระเจ้า เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง มีพื้นที่สีเขียวซึ่งเป็นเสมือนปอดของคนเมือง แต่ครั้งนี้ อยากออกนอกกรุงเทพฯ สร้างประสบการณ์เดินทางแบบใหม่ เดินทางแบบ Backpacker ไม่ขับรถไปเอง จึงเลือกเส้นทางลองนั่งรถไฟออกไปรับลม สูดอากาศปลอดฝุ่น PM. 2.5 เปลี่ยนคาเฟ่นั่งทำงานได้แบบเลือกโลเคชั่นสวยๆ ได้ตามใจที่ “อัมพวา”…ไปครับ ออกเดินทางไปด้วยกัน เริ่มต้นแพ็คกระเป๋า แล้วพบกันที่ “สถานทีรถไฟวงเวียนใหญ่” ขึ้นรถไฟเที่ยว 07:00 น. กันเลย
การเดินทางไปกันเส้นทางที่ไม่เคยไป หมายถึง ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะช่วยสร้างสีสันให้กับการเดินทางในครั้งนี้ แต่ผู้เขียนก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับประสบการณ์หลงทาง ดังนั้น การเดินทางในครั้งนี้ จึงเริ่มต้นที่การทำแผนที่เดินทาง ซึ่งสรุปข้อมูลให้คุณผู้อ่านนำไปใช้อ้างอิงได้ดังนี้
จากเวลาโดยรวมที่ต้องใช้เดินทางตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน ถึงตลาดร่มหุบ ประมาณ 4-5 ชม. ขึ้นอยู่กับตัวแปรในระหว่างที่คุณเดินทาง ผู้เขียนจึงกำหนดเวลาให้ไปถึงตลาดร่มหุบไม่เกินเที่ยง และหามื้อเที่ยงอร่อยๆ ที่ตลาดแม่กลอง…ไปดูกันต่อว่าผู้เขียนควรจะไปถึงสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่กี่โมง
แนะนำว่าอยากให้คุณได้เริ่มออกจากบ้านเช้าสักหน่อย เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่สถานีรถไฟแม่กลองก่อนมื้อเที่ยง และเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ คุณควรมาถึงสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ 06:30 น. เพื่อมารอซื้อตั๋วรถไฟเที่ยว 07:00 น. เดินทางไปลงที่สถานีรถไฟมหาชัย
สำหรับคนเมือง แนะนำให้ใช้วิธีเดินทางด้วยบริการสาธารณะ จะเป็กแท็กซี่ รถเมย์ หรือ BTS เลือกใช้บริการได้ตามสะดวก เพราะถ้าขับรถส่วนตัวมาเอง ก็จะลำบากเรื่องหาที่จอดรถแบบข้ามวันข้ามคืน จะทำให้คุณพวงกับรถในระหว่างเดินทาง และวิธีการเดินทางที่ดีที่สุดแนะนำให้ใช้บริการ BTS โดยมาลงที่สถานีวงเวียนใหญ่ ค่าเดินทางเพียง 69.- แล้วเรียกแท็กซี่ นั่งต่อมาอีกประมาณ 5 นาที จ่ายค่าแท๊กซี่ไป 47.-
ดาวน์โหลด กำหนดเวลาเดินทางสายวงเวียนใหญ่ – มหาชัย
หมายเหตุ: กรณีลิงค์คลิกแล้วไม่มีข้อมูล สามารถดาวน์โหลดตรงได้ที่ railway.co.th
หลายคนอาจคุ้นๆ กับชื่อสถานที่จากเพลงดังรุ่นคุณปู่ของคุณชรินทร์ นันทนาคร ซึ่งผู้เขียนเองก็เคยได้ฟังบ่อยๆ เพราะคุณพ่อมักจะร้องให้ฟัง แต่ก็ไม่เคยมาเยือนด้วยตัวเอง จึงทำให้รู้สึกว่า “ท่าฉลอม” น่าจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวย้อนยุคที่น่าจะหาเวลามาเยือนสักครั้ง
ผู้เขียนมาถึงสถานีรถไฟมหาชัย และได้สอบถามเส้นทางกับเจ้าหน้าที่ประจำสถานีว่าต้องไปยังไงต่อหากจะไปลงเรือข้ามฟากเพื่อไปสถานีรถไฟบ้านแหลม จึงได้รับคำแนะนำดังนี้
ตอนที่ผู้เขียนลากกระเป๋าไปถึงท่าฉลอม มีเรือข้ามฟากมาจอดเทียบท่าเตรียมจะออกแล้ว จึงไม่มีโอกาสได้นั่งคาเฟ่ ดื่มกาแฟชมทิวทัศน์ของท่าฉลอม แต่ก็ตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปอีกครั้ง
เมื่อข้ามฟากไปอีกฝั่งหนึ่งของท่าฉลอม ต้องเดินต่อไปสถานีรถไฟบ้านแหลมอีก 800 เมตร ซึ่งจะเลือกเดินชมเมืองไป หรือ จะหารถนั่งไปก็แล้วแต่คุณสะดวก ส่วนผู้เขียนเลือก “นั่งสามล้อถีบ” เพื่อร่วมอนุรักษ์อาชีพท้องถิ่นที่นับวันจะเลือนหายไปกับคนรุ่น 50+ ซึ่งครั้งนี้ มีคุณลุงอายุ 74+ เป็นสารถีปั่นพาไปส่งที่สถานีฯ ช่วยประหยัดเวลาไปหลายนาที มีค่าบริการเพียง 20.-
ผู้เขียนไปถึงสถานีรถไฟบ้านแหลม เวลาประมาณ 08:45 น. โดยต้องรอซื้อตั๋วรถไฟเที่ยวต่อไป เวลา 10:10 น. โดยในระหว่างที่รอก็มีกิจกรรมให้ทำเพื่อเพิ่มประสบการณ์เดินทางดังนี้
ข้อมูลอ้างอิงประวัติสถานีรถไฟบ้านแหลม: www.matichon.co.th
ผู้เขียนเดินทางไปตรงกับวันศุกร์ ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะมีคนเยอะมากมายอะไร แต่ดันลืมคิดไปว่า ตลาดน้ำอัมพวาเปิดให้บริการศุกร์ – อาทิตย์ ในระหว่างเดินทางจึงเจอประสบการณ์โบกี้แตก!… นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากหลายกรุ๊ปทัวร์ต่างพร้อมใจกันมาเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งทำให้อากาศภายในโบกี้อบอ้าว และเป็นที่น่าเสียดายว่า ผู้เขียนไม่มีโอกาสจะเก็บภาพสวยๆ ในระหว่างเส้นทางเลย เพราะทั้งที่นั่ง และ ที่ยืนแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว จนไม่มีพื้นที่ให้ขยับตัวกันเลยทีเดียว
ขบวนรถไฟค่อยๆ คืบคลานผ่านตลาดร่มหุบด้วยความเร็วในระดับตามหลังเต่า เพราะเบื้องหน้านั้นคือภาพที่คุ้นเคย เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวยืนจนตัวแทบจะแนบกับโบกี้รถไฟ พร้อมใจกันกดชัตเตอร์เก็บภาพความทรงจำครั้งสำคัญของพวกเค้า เพราะ “ตลาดร่มหุบ” มีที่เดียวในโลกที่พ่อค้าแม่ค้าพร้อมใจกันมาวางของขายบนรางรถไฟ และ รถไฟต้องยอมให้ จนเกิดเป็นอัตลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนจากทั่วโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายท่านที่เคยมาต่างขนานนามตลาดร่มหุบแห่งนี้ว่า “Rom Hop, the Dangerous-Friendly Railway Market” ซึ่งพวกเค้าคงหมายถึง “The market for railway is dangerous and friendly at the same time.” นั่นเอง
ด้วยในระหว่างเดินทางที่ในโบกี้แน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว ผู้เขียนจึงตัดสินใจไปหาอะไรกินที่ “สุธาคาเฟ่” เพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟ มีห้องแอร์เย็นๆ ที่เสริฟกาแฟเข้มๆ ด้วยวิวแม่กลองสวยๆ ซึ่งมองเห็นได้จากโต๊ะกาแฟ ผู้เขียนสั่งอาหารทานง่ายๆ กับ เอสเพรสโซ่เข้มๆ เพื่อเบิกเนตรให้พร้อมเดินทางต่อในช่วงบ่าย
ตลาดแม่กลอง ก็เป็นหนึ่งในตลาดเก่าอายุ 100 ปีเช่นเดียวกันกับหลายๆ จังหวัด ในช่วงกลางวันบรรยากาศในตลาดคึกคักในบางจุด โดยเฉพาะที่ “ตลาดร่มหุบ” เพราะเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งไทย และ เทศ ผู้เขียนจึงเลือกมาเดินให้พุงกางในช่วงเย็น ซึ่งในช่วงเวลาที่ไปเดินนั้น อากาศเริ่มเย็นสบายเพราะเข้าสู่หน้าหนาว ลมพัดเอาความเย็นที่อุณหภูมิ 27 องศามาปะทะในระหว่างที่เดินตลาด จึงทำให้เพื่อนของผู้เขียนอยากนั่งกินโจ๊กร้อนๆ กันเลยทีเดียว
ตลาดเย็น วัดเพชรสมุทร เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่มาพักค้างคืนได้ออกมาเดินรับลม ชมเมืองแม่กลองยามค่ำคืน และ ชิมอาหารสตีทฟู้ดอร่อยๆ ในราคาประหยัด ซึ่งมีพ่อค้า แม่ค้ามาออกร้านกันสองฝั่งถนนหน้าวัดเพชรสมุทร มีของกินหลากหลายทั้งของหวาน ของคาว เครื่องดื่ม ขนม นม เนย ของฝาก ของใช้ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้บริการอย่างจุใจ
วัดเพชรสมุทร หรือ คนพื้นที่จะเรียก “วัดบ้านแหลม” ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุทธยา มี “หลวงพ่อบ้านแหลม” เป็นพระพุทธรูปสำคัญที่สร้างในสมัยเดียวกับ “หลวงพ่อโสธร และ หลวงพ่อโตวัดบางพลีใหญ่” ซึ่งในอดีต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนมัสการ และ ได้พระราชทานผ้าทอมาจากดิ้นทองจำนวนสองผืนเพื่อประดับไว้ที่องค์พระ
ต้องยอมรับว่า ประสบการณ์เดินทางครั้งแรกนี้ได้ใช้เวลาอยู่ในโบกี้รถไฟนานมาก แต่เป็นการเดินทางที่ประหยัดมาก ไปดูสรุปค่าเดินทางรวมสำหรับทริปนี้กัน
รวมค่าเดินทางเฉพาะขาไป 159.- ส่วนขากลับผู้เขียนไม่มีระบุเพราะเที่ยวต่ออัมพวา 2 คืน 3 วัน จึงจองที่พักด้วยส่วนลด 10% สำหรับวันธรรมดาที่ ณ ทรีธารา และเดินทางกลับกับเพื่อนที่นัดเจอกัน
ผู้เขียนต้องตะลึงกับทิวทัศน์เบื้องหน้าตอนไปถึง ณ ทรีธารา รีสอร์ทติดแม่น้ำ ที่อัมพวา หน้าโรงแรมเป็นคุ้งน้ำแม่กลอง บรรยากาศสวยงามเป็นส่วนตัว สองฝั่งคุ้งน้ำยังคงสภาพแวดล้อมดั้งเดิมของวิถีชีวิตชาวแม่กลองไว้เป็นอย่างดี ที่พักทุกห้องสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้ เพียงก้าวออกมารับลมตรงระเบียงห้องพักเท่านั้น จึงเชิญชวนคุณมาเช็คอิน รับส่วนลดเข้าพักวันธรรมดา 10% พร้อมอาหารเช้ากันเลย
ด้วยที่ตั้งของ ณ ทรีธารา เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่าง ดำเนินสะดวก และ อัมพวา ใช้เวลาไปท่องเที่ยวแต่ละตลาดน้ำไม่เกิน 15 นาที หากคุณมีเวลาท่องเที่ยวเฉพาะในอัมพวา ก็มีตลาดน้ำให้เลือกเที่ยวในช่วงวันศุกร์ – วันอาทิตย์ ถึง 4 ตลาดน้ำเข้าไปแล้ว…ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้คุณสนุกกับการเดินทางที่ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก เราไปดูว่ามีตลาดน้ำอะไรให้คุณได้เที่ยวบ้าง
หมายเหตุ: ตลาดน้ำหลายแห่งที่เปิดให้บริการเฉพาะช่วงวันหยุด แนะนำให้เช็คข้อมูลก่อนเดินทาง
ณ ทรีธารา มีตัวเลือกที่พักที่ตอบโจทย์ทุกการมา จะมาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นครอบครัว หรือ มาเป็นกลุ่ม เพราะเรามีห้องพัก 42 ห้อง ทุกห้อง บางห้องจะเป็นวิวสวน วิวสระว่ายน้ำ วิวบ่อน้ำด้านใน มองเห็นวิวแม่น้ำทั้งโดยตรงจากห้อง ระเบียงห้อง และ วิลล่าบ้านพักส่วนตัว 18 หลัง ทั้งวิวสระน้ำ และ วิวน้ำแม่กลอง หากเป็นการมาประชุมสัมมนาวันธรรมดา คุณจะมีส่วนลด 10% ทั้งค่าที่พักและ ดินเนอร์ริมน้ำหรูๆ ที่ Mangrove ร้านอาหารและคาเฟ่ริมน้ำ
ตอบโจทย์ผู้เขียน มาเที่ยวด้วย ทำงานไปด้วย เพราะในห้องพัก ห้องอาหาร Mangrove คาเฟ่ ต่างมีพื้นที่เหมาะๆ ให้นั่งทำงานได้อย่างสบาย หรือ กรณีมาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม ก็เรียกใช้บริการห้องประชุม, สัมมนา, อีเว้นท์, กิจกรรมงานเลี้ยงสังสรรค์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งบริเวณภายในห้องจัดเลี้ยงสัมนา และบริเวณภายนอกพื้นที่สนามกลางแจ้งริมน้ำแม่กลอง มีพื้นที่จัดงานหลายแบบ อาทิเช่น
ตอบโจทย์คนที่อยากเปลี่ยนที่นั่งทำงาน ได้งาน ได้เที่ยว เข้าพักได้ในวันอาทิตย์ – พฤหัส พร้อมรับสิทธิพิเศษเมื่อเข้าพักวันธรรมดา
หมายเหตุ: ค่าที่พักอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดสอบถามกับฝ่ายรับจองห้องพัก
การเปลี่ยนสถานที่นั่งทำงานที่บ้าน มาเป็นสถานที่ภายนอก ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่ดี ธรรมชาติสวยงาม อากาศดี ที่พักใกล้แหล่งท่องเที่ยว เป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กันได้ คุณจะได้ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติที่มีความสงบ เต็มไปด้วยความสุข
ที่ ณ ทรีธารา อัมพวา จะช่วยสร้างสีสันการทำงานของคุณให้เต็มไปด้วยความทรงจำที่ดี และ น่าประทับใจ
034-751-335 | | | คลิกเลย…สำรองที่พักวันธรรมดาลด 10% พร้อมอาหารเช้า